แจกแท็บเลตพีซี ...เครื่องมือปฏิรูปการเรียนรู้ของเด็ก หรือ เป็นความสิ้นเปลือง และการหาประโยชน์ของพรรคเพื่อไทย?
เทคโนโลยีด้านแท็บเลตพีซี(Tablet
PC) ยังถือว่าเพิ่งแค่เริ่มต้นเท่านั้น รูปแบบการใช้งานของแท็บเลตพีซียังถูกใช้
เพื่อ “ทดแทนการใช้งานพีซี” เป็นหลัก
เช่น การท่องเว็บ อ่านอีเมล โซเชียลเน็ตเวิร์ค ดูหนังออนไลน์ ฯลฯ และมีข้อมูลระบุว่า
เรายังไม่เห็นการนำแท็บเลตพีซีมาใช้เปลี่ยนกระบวนการทำงานแบบเดิมๆ (ที่ถูกเซ็ตโดยพีซีธรรมดา)ไปมากเท่าไรนัก ในด้านตลาดผู้บริโภค ก็เพิ่งจะเริ่มเห็นแท็บเลตพีซีถูกใช้งานเพราะรูปแบบที่แปลกใหม่
โดยเฉพาะเกมและความบันเทิงที่ใช้วิธีการสั่งงานด้วยการสัมผัสผ่านหน้าจอได้ง่ายกว่า
(ซึ่งเป็นจุดต่างสำคัญของแท็บเลตพีซีกับคอมพิวเตอร์พีซี) และในภาคธุรกิจแล้วนั้น
ก็ยังไม่เห็นการใช้งานนอกเหนือจากการอ่านอีเมล อ่านเอกสาร และอ่านเว็บ
จึงถือว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ยังต้องอาศัยการออกแบบเพื่อให้ใช้งานอย่างเกิดประโยชน์และการยอมรับจากผู้บริโภค
แม้เราจะเห็นว่ามีประโยชน์ต่อการสื่อสารและรูปแบบการเรียนรู้ในโลกยุคใหม่
จนทำให้พรรคเพื่อไทยนำมาชูเป็นนโยบายหนึ่งในการหาเสียงก็ตาม
ตามนโยบายด้านการศึกษาที่พรรคเพื่อไทยได้เคยหาเสียงเอาไว้นั้น
ในปีการศึกษาหน้า(๒๕๕๕) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
๑ ( ป.๑)ทุกคนจะได้รับแจกแท็บเลตพีซี (ซึ่งมีหน้าตาคล้ายๆ กับเครื่อง iPad) จำนวนราวๆ ๘ แสนคนทั่วประเทศ ใช้จำนวนเครื่องเท่ากับจำนวนเด็ก(ที่พรรคเพื่อไทยใช้คำว่า "One
Tablet per Child") โดยโครงการนี้จะใช้เงินงบประมาณประเทศราวๆ
๕,๐๐๐ ล้านบาท
แต่เมื่อจะมีการนำมาสู่การปฏิบัติจริงในเร็วๆ
นี้ ก็เกิดการกังวลใจถึงความคุ้มค่าหรือประสิทธิภาพ ประสิทธิผลจากการใช้เครื่องแท็บเลตพีซี
ทั้งในภาพรวมและภาพย่อยที่จะเกิดขึ้นทั่วทั้งประเทศ
ทางพรรคเพื่อไทยเคยระบุถึงแท็บเลตพีซีว่า จะเป็นเหมือนกับ
“อีบุ๊ก”(E-Book)ที่มาพร้อมกับโปรแกรมการเรียนการสอน หรือ คอร์สแวร์(Courseware) สามารถใช้กับเครือข่ายไร้สายไว-ไฟ(ฟรี) การลงทุนแจกแท็บเลตให้กับเด็กครั้งนี้
หากคิดค่าใช้จ่ายเฉลี่ยจะตกอยู่ที่ ๑.๘๒
บาทต่อคนต่อวัน แล้วก็ระบุว่า ถือเป็นการลงทุนในการพัฒนาบุคลากรที่คุ้มค่าเป็นการเพิ่มศักยภาพคน
เพื่อรองรับการเปิดประชาคมอาเซียน ปี ๒๕๕๘
โดยอาจจะมีการสั่งเครื่องแท็บเลตพีซีเหล่านี้มาจากประเทศจีนหรืออินเดียนำเข้ามาประกอบในเมืองไทยก่อนที่จะได้แจกจ่ายไปยังเด็กนักเรียนชั้น
ป.๑ ทั่วประเทศ โดยราคาเครื่องที่จะสั่งมาจากอินเดียนั้นอยู่ที่ประมาณ ๑,๕๐๐ บาท แต่หากเครื่องที่นำเข้ามาจากประเทศจีนจะอยู่ที่
๓ - ๔,๐๐๐ บาท (พรรคเพื่อไทยตั้งงบประมาณไว้เครื่องละไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาท) แต่ก็เป็นที่ทราบกันดีว่า
เครื่องไม้เครื่องมือที่นำเข้าจากบางประเทศนั้นมีคุณภาพต่ำ มีความคงทนน้อย
เพราะสินค้าที่ผลิตจากประเทศเหล่านั้นต่างก็เน้นการใช้ต้นทุนต่ำในการผลิต และเมื่อนำไปใช้กับเด็กๆ
ที่ยังไม่สามารถดูแลรักษาเครื่องไม่เครื่องมือที่มีราคาแพงด้วยแล้ว
ก็น่าจะเกิดปัญหาได้ง่าย
ปัญหา
มากมายกำลังจะตามมาทุกขั้นตอน
เช่น โปรแกรมที่จะใส่ลงไปในเครื่องนั้น การเชื่อมต่อกับระบบอินเทอร์เน็ต
แม้กระทั่งการสอนให้เด้กใช้งาน การเปิดปิดเครื่อง
การเก็บรักษาเครื่อง การเตรียมความพร้อมของเด็กก่อนการใช้งาน
ทำให้มีการใช้งานที่ไม่คุ้มค่า และครูน่าจะมี “ข้อห้าม”อีกมากมาย
โดยเฉพาะการอนุญาตให้เด็กนำกลับไปใช้ทำการบ้าน
เพื่อให้ผู้ปกครองได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนของลูกหลาน
แม้จะมีบริษัทเอกชนหลายแห่งเตรียมตัวเข้ามาเสนอบริการแบบ
“โททัลโซลูชัน” (Total Solution) ด้วยการให้บริการครบวงจรทั้งด้านฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์การเรียนการสอน(เนื้อหา)
ซอฟต์แวร์การจัดการการเรียนการสอน การควบคุม การกระจายสื่อ รวมถึงการบริการดูแลบำรุงรักษาเครื่องก็ตาม
แต่ดูเหมือนจะมีความกังวลใจกันมากขึ้นต่อไปอีก
เมื่อต้องพิจารณาถึงประเด็นประสิทธิภาพ หรือความคุ้มค่า คุ้มทุน(Cost
Effectiveness) เพราะมิใช่เพียงแค่เด็กในเมืองเท่านั้นที่จะได้รับการแจกแท็บเลตพีซีเหล่านี้
เด็กๆ ในชนบทที่ห่างไกลก็ยังจะได้รับการแจกจ่ายเช่นเดียวกัน ทุกๆ โรงเรียนต่างก็อยากได้เครื่องแท็บเลตพีซีมาให้นักเรียนและครูใช้ในการเรียนการสอน
และเพราะว่าเป็นหน้าตาให้แก่ผู้บริหารสถานศึกษาอีกประการหนึ่งด้วย
เมื่อจะทำโครงการใดๆ
ที่เกี่ยวกับการลงทุนทางการศึกษา ก็ควรจะต้องมีการประเมินประสิทธิภาพของการลงทุนนั้นให้ครอบคลุมทั้ง ๔ ด้าน ได้แก่
๑) ด้านปริมาณ (Quantity) ๒) คุณภาพ (Quality) ๓) เวลา (Times) และ ๔)ค่าใช้จ่าย(Expenses)จึงจะถือว่า ถูกต้อง เหมาะสม
โครงการแจกแท็บเลตพีซีก็ควรจะต้องถูกประเมินประสิทธิภาพอย่างรอบด้านเช่นเดียวกัน
จึงจะแสดงให้เห็นได้ว่าเป็นโครงการที่เหมาะสมแก่เด็กๆ ของเรา ได้แก่
๑)
ปริมาณหรือจำนวนเครื่องแท็บเลตพีซี ประเมินความครอบคลุมของเครื่องฯ ที่แจกจ่ายลงไปให้แก่เด็กๆ
อย่างทั่วถึง ครอบคลุมเด็กนักเรียนตามที่พรรคเพื่อไทยเคยหาเสียงไว้
๒)
คุณภาพของเครื่องแท็บเลตพีซี
ซึ่งต้องพิจารณากันถึงคุณภาพทางด้านกายภาพของเครื่อง(ฮาร์ดแวร์)
และซอฟท์แวร์(โปรแกรมที่ใส่ไว้ในเครื่องฯ) ผลลัพธ์จากเนื้อหาการเรียนการสอน
และความคาดหวังว่าสอดคล้องตามวัตถุประสงค์ของการศึกษาในระดับ ป.๑
หรือไม่อย่างไร
๓) จำนวนเวลาของการใช้งาน ต้องมีการเก็บข้อมูลว่า
เด็กมีจำนวนชั่วโมงการใช้งานมากน้อยแค่ไหน ใช้เวลาเหล่านั้นไปทำอะไรกับมันบ้าง และ
๔)
ค่าใช้จ่ายทางตรง ที่สามารถคิดเป็นตัวเงินได้
เช่น งบประมาณในการจัดซื้อ เงินเดือน ค่าจ้าง ค่าตอบแทนของผู้ที่เกี่ยวข้อง ค่าเพิ่มหรือถอดโปรแกรม
ค่าซ่อมบำรุงรักษา และระบบศูนย์รวมของการบำรุงรักษาในแต่ละพื้นที่
และค่าใช้จ่ายทางอ้อม(ได้แก่ ต้นทุนในการเสียโอกาส)
นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาถึงการได้รับการยอมรับจากสังคมร่วมด้วย เช่น ความคาดหวังและความคิดเห็นที่ประชาชนที่มีต่อโครงการนี้ โดยเฉพาะพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็ก
ซึ่งเกี่ยวข้องทั้งที่เป็นผู้ใกล้ชิดตัวเด็กและมีส่วนเป็นเจ้าของเงินภาษีนั้นด้วย
หรืออีกวิธีหนึ่ง
โดยวิธีวัด “ผลิตภาพ”(Productivity)ก็ได้
โดย “ผลิตภาพ เท่ากับ ผลลัพธ์(Output + Outcome) หารด้วยปัจจัยนำเข้า(Input)”
ถ้าหาก
“ผลลัพธ์”น้อยกว่าปัจจัยนำเข้าก็ถือว่า ขาดทุน หรือ ไม่คุ้มค่า หรือถ้าเกิดผลลัพธ์สูง เด็กนักเรียนได้ประโยชน์มาก
จนเกิดการเปลี่ยนแปลงระบบการเรียนการสอนอย่างมากมายขึ้นในสังคมไทย เด็กๆ
มีความฉลาดมากขึ้น ไม่เพียงแค่ผู้กุมนโยบายจะได้ลงมือใช้เงินจัดซื้อ และเด็กๆ
ได้รู้จักและสัมผัสเครื่องมือสุดยอดไฮเทคที่สุดเท่านั้น
ผลิตภาพจึงหมายถึง
ความคุ้มกับไม่คุ้มเท่านั้น
(ภาพ เด็กในประเทศจีนกำลังใช้แท็บเลตพีซีในการเรียน)
ด้วยวิธีการประเมินอย่างใดอย่างหนึ่งใน
๒ วิธีการนี้ของกระทรวงศึกษาธิการจึงจะเป็นตัวบ่งบอกได้ว่า
การแจกแท็บเลตพีซีมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล เกิดความคุ้มทุน
หรือไม่เกิดความสูญเสียงบประมาณ สิ้นเปลืองทรัพยากรประเทศชาติที่ทุ่มลงไป
หากพรรคเพื่อไทยทำได้ดีในนโยบายนี้
ก็อาจหมายความได้ว่า เงินงบประมาณเพียง ๕,๐๐๐
ล้านบาทนั้นมันได้ส่งผลให้ระบบการศึกษาเกิดการเปลี่ยนแปลงมากกว่าการปฏิรูปการศึกษาทีใช้ความพยายามมาอย่างยาวนานก็เป็นได้
ควรจะได้มีการขยายผลไปในระดับชั้นต่างๆ
(ภาพหน้าตาแท็บเลตพีซีของบริษัท Bharat Electronics ผู้ผลิตจากอินเดีย ราคา ๒,๑๐๐ บาท)
เมื่อพิจารณาอีกด้านหนึ่ง การแจกแท็บเลตพีซีน่าจะเป็นปัญหาที่น่าหนักใจอยู่ไม่น้อย
เพราะยังไม่มีใครในพรรคเพื่อไทยการันตีได้ว่า
จะเกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผลแค่ไหน ได้แต่พูดไปเรื่อยเพราะไม่เคยมีตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรม มีแต่นามธรรมและความคาดหวัง
นโยบายนี้ได้กำหนดกลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับการแจกจ่ายแท็บเลตพีซีเป็นเด็กนักเรียนชั้น
ป.๑ จึงมีคำถามว่า เมื่อให้นักเรียนชั้น
ป.๑ ได้ใช้เรียนหนังสือแล้วจะเกิดผลอะไรขึ้นบ้าง?
แน่
นอนว่า
เครื่องแท็บเลตพีซีนั้นหากนำเอาไปใช้กับคนรุ่นไหนก็ย่อมเกิดมีการเปลี่ยน
แปลงแก่คนในรุ่นนั้น
เพราะคนเหล่านั้นก็จะได้ใช้เครื่องมือการเรียนรู้ที่สามารถเข้าถึงแหล่ง
ข้อมูลที่มีทั้งสาระและบันเทิงอยู่ในตัวครบครันอย่างง่ายดายในรูปแบบที่ทัน
สมัย
ในโจทย์เดียวกันนี้
หากเราปรับเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายกันเสียใหม่
ด้วยการนำเอาเครื่องแท็บเล็ตพีซีมาใช้กับเด็กนักเรียนอีกกลุ่มหนึ่ง ลองเปลี่ยนระดับของสติปัญญาของเด็ก
ก็ย่อมได้รับผลลัพธ์แตกต่างกันออกไปอย่างไม่ต้องสงสัย เช่น หากนำเครื่องแท็บเลตพีซีเครื่องเดียวกันนี้ไปให้เด็กนักเรียนในช่วงชั้นที่
๒ (ชั้น ป. ๔ )ได้ใช้เรียน ย่อมได้รับผลลัพธ์ที่ "ต่างออกไปในทางบวก"
ซึ่งหมายความว่า น่าจะได้ผลดีกว่าเด็กชั้น ป.๑ เพราะอย่างน้อยๆ เด็กก็มีความพร้อมในการเรียนรู้มากกว่า
ใช้งานได้เป็นผลมากกว่า
เช่น
เดียวกัน
หากรัฐบาลลงทุนในจำนวนเครื่องต่อหัวเท่าๆ กัน
แล้วนำไปให้เด็กนักเรียนในช่วงชั้นที่
๓ (ม.๑ )ก็ย่อมได้รับผลลัพธ์ดีกว่าการใช้งานกับเด็ก ป.๔ และ ป.๑
อย่างแน่นอน
หรือถ้าหากเรานำเครื่องแท็บเล็ตพีซีไปให้เด็กนักเรียนช่วงชั้นที่ ๔ (ม.๔)
ได้เกิดการเรียนรู้และค้นหาวิทยาการความก้าวหน้าของเทคโนโลยี
และความงดงามที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ของวัฒนธรรมไทย
ก็ย่อมเกิดภูมิปัญญาได้มากมายแก่เด็กนักเรียนเหล่านั้น "มากกว่า
๓ กลุ่มแรกนั้นเสียอีก"
ทำไมพรรคเพื่อไทยจึงไม่ทำเช่นนั้น...?
ใน
เรื่องนี้จึงไม่มีอะไรสะท้อนมากเกินไปกว่า
ความต้องการเอาชนะในการเลือกตั้งมากกว่าการใช้เหตุผลในการคิดหาวิธีการเพิ่ม
สติปัญญาให้แก่เด็กนักเรียน
การใช้คำโฆษณาซึ่งมีลักษณะเกินตัว(เช่นเดียวกับการใช้คำว่า "๓๐
บาทรักษาทุกโรค")
แล้วยังสะท้อนลึกไปถึงนิสัยของคนไทยที่ต้องการ “การได้หน้า”กันเสียมากกว่า และก็เชื่อเหลือเกินว่า
เมื่อนโยบายแจกแท็บเลตพีซีออกมาใช้เป็นการจริงจังแล้ว ปัญหาจะเกิดขึ้นตามมาอย่างมากมาย
แล้วคนที่ทำนโยบายนี้มาใช้ก็ต้อง “รักษาหน้า”ตัวเอง
เกรงก็แต่ว่าจะมีการแก้ผ้าเอาหน้ารอดกันอีก เหมือนหลายๆ
โครงการที่แล้วๆ มา
เรากำลังพูดถึงเรื่อง "คุณค่าทางเศรษฐกิจของการศึกษา"
ซึ่งหมายถึง การที่ประเทศมีเศรษฐกิจดี
อันเนื่องจากประชาชนมีการศึกษาที่ดี ถึงแม้ว่าจะมีการลงทุนในมนุษย์คิดเป็นรายหัวสูงแล้วก็ตาม
แต่ก็ได้ส่งผลให้ประชาชนเป็นพลเมืองดี มีทักษะที่ดีในการทำงาน ได้แรงงานที่มีคุณภาพ มีสินค้าบริการที่เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจสืบเนื่องต่อๆ
กันไป ประชาชนได้รับการบริการที่สะดวกสบาย มีประสิทธิภาพ จนกระทั่งมีคุณภาพชีวิตที่ดี เกิดการผลิตเองในประเทศมากกว่าการนำเข้าจากต่างประเทศ
จนกระทั่งประเทศไทยมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมั่นคง เราจึงจะเชื่อได้ว่า
นโยบายนี้มี “คุณค่าทางเศรษฐกิจของการศึกษา”
เพื่อให้เรื่องแท็บเลตพีซี
จะไม่ใช่เพียงเพื่อเอาเงินภาษีของเรา ไปซื้อ “ของเล่น”แจกให้แก่เด็กๆ เป็น “เครื่องทดลองให้แก่คนออกนโยบาย” และเป็นช่อทางใน
“การหาประโยชน์จากการจัดซื้อเครื่องแท็บเลตพีซีของนักการเมือง”
ข้อมูลจาก http://www.oknation.net/blog/print.php?id=740203
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น