Krukaroon

!!!การุณย์ สุวรรณรักษา สังคมศึกษาฯ วรนารีเฉลิม จังหวัดสงขลา!!

วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เหลิงหลงวัตถุมากเกินไป การศึกษาไทยจึงไม่พัฒนา

ทันสมัย แต่ไม่พัฒนา การศึกษาในเมืองไทย

มติชนรายวัน ฉบับประจำวันอังคาร ที่ 31 พฤษภาคม 2554
ประเทศไทยรั้งท้ายอยู่อันดับที่ 50 เป็นสรุปรายงานประเมินผลนักเรียนนานาชาติ หรือ พิซ่า (PISA) จำนวน 65 ประเทศทั่วโลก
นักเรียนไทยมีผลประเมินอยู่ในกลุ่มต่ำ 3 วิชา คือ การอ่าน, คณิตศาสตร์, และ วิทยาศาสตร์
 “PISA เตือนการศึกษาไทยมาตลอดว่าการปล่อยให้ครูขาดแคลนสะสม             ครูสอนไม่ตรงวุฒิ การกวดวิชา ล้วนส่งผลทางลบต่อคุณภาพทางบวกการเรียนรู้และการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน” ตุลย์ ณ ราชดำเนิน เขียนไว้ในข่าวสด (ฉบับวันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม 2554 หน้า 26) แล้วบอกอีกว่า
“แม้แต่การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการเรียนการสอน ผลประเมินไม่พบภาพเชิงบวก แต่พบข้อมูลชี้ว่านักเรียนที่ใช้มากที่สุด กลับมีคะแนนต่ำสุดในวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และความเข้าใจจากการอ่าน”
สะท้อนวิธีคิด “ทันสมัย แต่ไม่พัฒนา” อันเป็นลักษณะสังคมด้อยพัฒนา          บ้าคลั่งเทคโนโลยีตามฝรั่ง “ช้างขี้ ขี้ตามช้าง” จนตูดทะลักดากทะลุ

ทยอยลดสัดส่วนการเรียนวิชาการลงจนเหลือ 30 : 70

การศึกษา 5 ทางเลือกเพื่อให้นักเรียนมีงานทำและเรียนตามความสามารถ




 1.เกษตรกรรม  2. อุตสาหกรรม 3.พาณิชยกรรม 4. วิชาการ 5.ความคิดสร้างสรรค์
  

 สพฐ. สนองแนวคิด รมว.ศธ.เตรียมทำหลักสูตรสำเร็จรูป แบ่งเป็น 5 ออปชันให้โรงเรียนเลือกใช้ โดยแบ่งสัดส่วนการเรียนภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติแตกต่างกัน เพื่อให้สอดคล้องกับการปั้นเด็กแต่ละกลุ่ม ซึ่งในต่างจังหวัดที่มีอัตราเรียนต่อน้อยอาจกำหนดสัดส่วนเรียนวิชาการแค่ ร้อยละ 30
      
       นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) กล่าวภายหลังประชุมผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า ขณะนี้ สพฐ.เตรียมปรับรูปแบบการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนในสังกัดให้ตอบสนองต่อ นโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) ที่ต้องการจัดการศึกษาเพื่อการมีงานทำ และให้การจัดการศึกษาตอบสนองบริบทของแต่ละพื้นที่ ซึ่ง สพฐ. เห็นว่า สิ่งที่จะพอดำเนินการได้ทันทีภายใต้โครงสร้างหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น พื้นฐานฉบับปัจจุบันโดยไม่ต้องไปเสียเวลาเป็นปีเพื่อปรับรื้อหลักสูตร คือ การปรับโครงสร้างเวลาเรียนใหม่ออกมาเป็น 5 รูปแบบ เพื่อให้เหมาะสมกับโรงเรียนในแต่ละพื้นที่ อย่างไรก็ตาม โครงสร้างหลักสูตรฉบับปัจจุบันกำหนดสัดส่วนเวลาเรียนโดยแบ่งเป็นการเรียนภาค ทฤษฎีในห้องเรียน ร้อยละ 70 และการฝึกปฏิบัตินอกห้องเรียน ร้อยละ 30 ซึ่งอาจไม่เหมาะสมกับโรงเรียนในชนบท นักเรียนตามชนบทเมื่อเรียนจบชั้นมัธยมแล้วไม่ได้มุ่งเข้าสู่มหาวิทยาลัยทุก คนเหมือนนักเรียนของโรงเรียนในเมือง ไม่จำเป็นต้องเรียนวิชาการมากเกินจำเป็น แต่ควรเน้นฝึกปฏิบัติเพื่อให้เขามีทักษะความรู้ติดตัวสามารถใช้ประกอบอาชีพ เลี้ยงตัวเองได้หลังจบการศึกษา

   
       เพราะฉะนั้น สพฐ.จึงเตรียมที่จะแตก หลักสูตรแกนกลางออกมาเป็น 5 ออปชัน ซึ่งมีสัดส่วนเวลาเรียนภาคทฤษฎีในห้องเรียนและภาคปฏิบัตินอกห้องเรียนลด หลั่นกันไป เริ่มตั้งแต่ 70-30 และจะทยอยลดสัดส่วนการเรียนวิชาการลงจนเหลือ 30-70 ในออปชันสุดท้าย วางการลดเวลาเรียนวิชาการลงก็เพื่อเพิ่มเวลาให้กับการฝึกปฏิบัตินอกห้องเรียน อย่างไรก็ตามเมื่อ มีการลดเวลาเรียนวิชาการลง อาจต้องบูรณาการการเรียน 8 กลุ่มสาระวิชาไว้ด้วยกันเพื่อประหยัดชั่วโมงเรียน จาก 8 กลุ่มสาระวิชาอาจเหลือบูรณาการเหลือแค่ 5 กลุ่มในบางออปชัน ทั้งนี้ โรงเรียนจะเป็นผู้พิจารณาเลือกเองว่าจะจัดการเรียนการสอนตามออปชันใด เพื่อให้เหมาะกับบริบทของพื้นที่นั้นๆ แต่ เพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่โรงเรียน ครู มากขึ้นไป สพฐ.ได้มอบให้สำนักวิชาการและมารตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สวก.) ไปจัดทำตัวอย่างการจัดการเรียนการสอนของแต่ละออฟชั่นออกมาเป็นแนวทางให้ โรงเรียนนำไปประยุกต์ใช้ โดยจะทำเป็นคู่มือแจกไปตามสถานศึกษา และเตรียมดำเนินการตามนโยบายนี้ตั้งแต่ปีการศึกษา 2555
      
       “ ต่อไปโรงเรียนแต่ละแห่งจะจัดการสอนไม่เหมือนกัน แตกต่างไปตามเป้าหมายของนักเรียนในแต่ละพื้นที่ แต่จริงๆ แล้ว ความคาดหวังของ ศธ.นั้น ไม่ได้ต้องการให้นักเรียนที่จบมัธยม มุ่งเข้าสู่มหาวิทยาลัย       ทุกคน แต่ต้องการให้สามารถนำเอาความรู้ไปประกอบอาชีพเลี้ยงตัวได้ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ เพราะฉะนั้น รูปแบบการจัดการศึกษาต้องมีความหลากหลาย เราไม่ต้องการให้เด็กเรียนอยู่ในบล็อกเดียวกัน คือ เน้นเรียนวิชาการเพื่อเข้ามหาวิทยาลัย อย่างนี้ไม่เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและเป็นการลงทุนทางการศึกษาที่ไม่คุ้มค่า เด็กต้องเรียนไปเพื่อทำงานไม่ใช่เรียนจบไปรองาน” นายชินภัทร กล่าว

ข่าวล่าสุด 16 กันยายน 2554
     นาย วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รมว.ศธ. กล่าวในการเปิดการประชุมปฏิบัติการยกระดับคุณภาพการจัดการมัธยมศึกษา พร้อมมอบนโยบายการศึกษาแก่ผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนมัธยมศึกษาในพื้นที่ จ.แพร่ เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ต้องการให้จังหวัดรู้จักตัวเองโดยดูจากศักยภาพ 5 ด้าน คือ ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ทรัพยากรธรรมชาติ ประเพณีวัฒนธรรม และบุคลากร จะต้องวิเคราะห์แต่ละด้านอย่างละเอียดเพื่อที่จะได้เป็นข้อมูลในการพัฒนา จังหวัด เพื่อพัฒนาต่อยอดจุดแข็ง โดยเชื่อมโยง กับระบบการศึกษา ตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน อาชีวศึกษา และอุดมศึกษา รวมทั้ง กศน. และชุมชน

"ที่ผ่านมาระบบการศึกษาจัดเพียงหลักสูตรเดียว แต่ใช้กับนักเรียนทั้งประเทศ จึงไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ การเรียน 12 ปี เพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยเท่านั้น ไม่ได้เรียนตามความถนัด ปิดกั้นโอกาสในการพัฒนาศักยภาพอย่างมาก ดังนั้น การเรียนการสอนในระดับมัธยมศึกษา จะต้องแบ่งเป็น 3 สาย คือ


1.มัธยมที่มุ่งสู่การเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย
2.มัธยมเชิงปฏิบัติ เน้นประกอบอาชีพสาขาต่างๆ และ
3.มัธยมกลุ่มความคิดสร้างสรรค์
ด้าน นายอภิชาติ จีระวุฒิ ปลัดศธ. กล่าวว่า การ ออกแบบหลักสูตรใหม่ จะมีครู อาจารย์ ผู้บริหาร มหาวิทยาลัย และท้องถิ่นร่วมกันสนองความต้องการ และเหมาะสมแต่ละพื้นที่ โดยส่วนกลางจะต้องลดบทบาทลง หากจัดทำหลักสูตรได้ตั้งแต่เดือนต.ค.นี้ ก็ใช้ได้ทันปีการศึกษาที่ 1/2555 ที่ประชุมยังเสนอรูปแบบการจัดการเรียนการสอนและหลักสูตรการพัฒนาการศึกษาตาม ศักยภาพของพื้นที่ โดย 5 มหาวิทยาลัย จะมาร่วมกับโรงเรียนมัธยม จัดการศึกษาเชิงบูรณาการตามศักยภาพของพื้นที่ จัดหลักสูตรตามความถนัด อาจส่งอาจารย์ช่วยสอน หรือสนับสนุนเทคโนโลยี

   อย่างนี้ โรงเรียนของผู้เขียน ก็คงเลือก เกษตรกรรมกับอุตสาหกรรมน่ะซิ เพราะค่า O-net ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน นักเรียนจบไปก็ไม่ได้เรียนต่อเป็นส่วนมาก
   เฮ้อ!
ความคิดเห็นจากอุดมศึกษา
หัวข้อข่าว :: เตือนหลักสูตร30/70 ได้แค่แรงงานไร้กึ๋น
รายละเอียดข่าว :: “สุขุม” เตือน สพฐ.ควรระมัดระวังหลักสูตร 30/70 จบแล้วมีงานทำ เรียนวิชาการน้อยแค่ 30% อาจทำให้เด็กมีปัญหา ไม่มีความรู้พื้นฐานสำคัญติดตัว ต่อไปจะกลายเป็นแรงงานไร้ฝีมือ "ด้านสมพงษ์ จิตระดับ" ชี้ สพฐ.ไม่ควรบ้าจี้ ตาม รมว.ศธ.ใหม่ ห่วงรื้อหลักสูตรใหม่ เรียนทฤษฎีแค่ 30% จะทำให้คุณภาพการศึกษาแย่ลง แนะให้คงอัตราไว้ที่เดิม แต่เพิ่มความเข้มข้นจะดีกว่า ชี้เรื่องการศึกษาตอบโจทย์ตลาดแรงงานอย่างเดียวไม่ได้ เพราะยังมีความเป็นพลเมือง และลักษณะความเป็นมนุษย์ด้วย พร้อมเสนอหลักสูตร 30:40:30 กลับไปให้ สพฐ.ด้วย
รศ.ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์ ประธานสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ในฐานะหนึ่งในกรรมการสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กล่าวถึง การเตรียมปรับโครงสร้างเวลาเรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 โดยทำเป็น 5 รูปแบบ มีสัดส่วนเวลาเรียนภาคทฤษฎีในห้องเรียนและภาคปฏิบัตินอกห้องเรียนลดหลั่นกัน ไป เริ่มตั้งแต่สัดส่วน ร้อยละ 70:30, 60:40, 50:50 และจะทยอยลงจนเหลือ 30:70 ในรูปแบบสุดท้าย เพราะต้องการลดการเรียนวิชาการลงเพิ่มการฝึกปฏิบัตินอกห้องโดยให้โรงเรียน เป็นผู้พิจารณาเลือกใช้รูปแบบที่เหมาะสมกับพื้นที่ที่โรงเรียนตั้งอยู่ว่า ตนมองว่าหาก สพฐ.จะทำรูปแบบให้เลือกนั้น ควรให้พ่อแม่และนักเรียนเป็นผู้เลือกจะเหมาะสมกว่า นั่นเพราะพ่อแม่แต่ละคนมีจุดมุ่งหมายแตกต่างกัน เพราะบางคนต้องการให้ลูกมีพี้นฐานความรู้ทางวิชาการมากเพื่อต่อยอดในการ ศึกษาต่อในระดับปริญญา ขณะที่บางคนก็ไม่ได้มุ่งเน้นวิชาการแต่อยากเน้นเรื่องการนำความรู้ไปสู่การ มีงานทำได้เลย แต่หาก สพฐ.จะให้โรงเรียนเป็นผู้เลือกรูปแบบที่เหมาะสมกับพื้นที่นั้น ตนเห็นว่าโรงเรียนก็ควรจะต้องทำหลายรูปแบบเพื่อให้เด็กได้เลือกตามที่ต้อง การมากกว่าจะเลือกให้เอง และ สพฐ.ต้องไม่ลืมว่าโรงเรียนมีจำนวนมาก และในแต่ละพื้นที่ก็มีหลายโรงเรียนเช่นเดียวกัน ดังนั้นควรจะกำหนดทิศทางให้ชัดเจน
อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.สุขุมได้กล่าวเตือนถึง การลดวิชาการในหลักสูตรรูปแบบสุดท้ายเหลือเพียงร้อยละ 30 นั้น สพฐ.ต้องให้ความระมัดระวัง ต้องเอาจริงเอาจังในเรื่องวิชาการในส่วนนี้ อะไรที่เป็นวิชาการที่สำคัญ เด็กจำเป็นต้องมีพื้นฐานความรู้ติดตัวเพื่อนำไปใช้ต่อยอดการประกอบอาชีพก็ ต้องทำอย่างเข้มข้น ไม่ใช่กำหนดแนวทางไปแล้ว ก็ปล่อยให้ลื่นไหลไปคนละทางไม่เช่นนั้นเด็กที่จบออกไปจะกลายเป็นแรงงานที่ ไม่มีคุณภาพ ที่สำคัญคือการต้องสร้างความเข้าใจต่อครูผู้สอน และพ่อแม่ของนักเรียนให้ดีด้วยถึงแนวทางดังกล่าว
นายสมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ตนไม่เห็นด้วยกับหลักการดังกล่าวที่จะวิชาภาคปฏิบัติมีสัดส่วนถึงร้อยละ 70 และเหลือวิชาภาคทฤษฎีร้อยละ 30 เพราะเด็กในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานควรจะได้เรียนทั้ง 8 กลุ่มสาระวิชาเป็นหลัก เพื่อจะได้รู้ศักยภาพของตัวเองในการเลือกเรียนในระดับที่สูงกว่า และทำงานต่อไป อีกทั้งการสอนภาคปฏิบัติของไทยจากเดิมกำหนดร้อยละ 30 ครูก็ยังทำไม่เป็นเลย ทั้งนี้ หากจะมีการรื้อปรับหลักสูตรเพื่อให้มีงานทำควรจะเริ่มที่ระดับอาชีวศึกษาและ อุดมศึกษาจะดีกว่า
“สพฐ.จะต้องไม่บ้าจี้ไปกับนักการเมืองที่ต้องการจะให้ปฏิรูปการศึกษาเพื่อ ตอบโจทย์ตลาดแรงงานอย่างเดียว เพราะการศึกษายังมีเรื่องของความเป็นมนุษย์ คุณลักษณะของพลเมืองที่ดีด้วย ดังนั้น ควรจะกลับไปดูว่าการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญที่เด็กควรจะได้เรียนใน ทุกกลุ่มสาระ ทั้งนี้ ผมก็เห็นด้วยหาก รมว.ศึกษาธิการต้องการจะปฏิรูปหลักสูตร เพราะมันถึงเวลาต้องเปลี่ยนแล้ว แต่ไม่ใช่มาเปลี่ยนอย่างนี้” อ.จุฬาฯ กล่าว และว่า นอกจากนี้ตนก็มีข้อเสนอการกำหนดอัตราส่วนหลักสูตรกลับไปให้ สพฐ.ด้วย โดยให้แบ่งเป็น 30:40:30 ได้แก่ เรียนจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์อย่างแท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ ที่มีเนื้อหาเรื่องอาเซียน สถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้ในสิ่งที่ทันยุคทันสมัยในร้อยละ 30 เรียนรู้จากภาคทฤษฎีตาม 8 กลุ่มสาระเหมือนเดิมร้อยละ 40 และเรียนรู้จากภาคปฏิบัติอย่างเข้มข้นร้อยละ 30 เหมือนเดิม.
ที่มา :
http://www.manager.co.th/QOL/default.html
ไทยรัฐ วันที่ 9 กันยายน 2554
 ข่าวสดออนไลน์ วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554 
http://www.sahavicha.com/ 

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554

 

                      เกรดคือ  ปรอท   วัดค่า             ศึกษา   เก่งอ่อน   แค่ไหน
                      หนึ่งสอง  สามสี่  ดีใจ                ศูนย์รอ  แก้ไข  ปรับตน





วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554















                                           ครู
           ครูมิใช่ช่างปั้นอันวิจิตร           แต่ต้องคิดวาดวางกางแผนผัง
        ครูมิใช่นายทุนหนุนกำลัง            ต้องเก็งทั้งขาดทุนตุนกำไร
        ครูมิใช่พ่อค้านายพาณิชย์            ดีดลูกคิดคาดการณ์ด้านไหนไหน
        แต่ยังเป็นผู้ค้าอย่างเต็มใจ            ยอมขาดทุนตลอดไปชั่วนิรันดร์
        ครูมิใช่นักปกครองช่ำชองศึก       แต่ก็คึกคะนองปกป้องขั้น
        ครูมิใช่นักวิชาการเชี่ยวชาญครัน  แต่โชกโชนด้วยผูกพันวิชาการ
        ครูมิใช่นักแสดงโลกแสงสี           แต่สวมบททุกที่ด้วยอาจหาญ
        ครูมิใช่ผู้กำกับผู้บงการ               แต่เฉียบขาดในแผนงานการบัญชา
        ครูมิใช่นักพากย์ฝีปากจัด           แต่สัมผัสการพากย์ยากจะหา
       ครูมิใช่ผู้ทรงศีลธรรมจรรยา       แต่เมตตาแผ่เผื่อเกื้อการุณย์
       นี่แหละครูเป็นได้หลายสถาน      ทุกเหตุการณ์ช่วยฉุดช่วยอุดหนุน
       ช่วยเผื่อแผ่แก้ไขช่วยค้ำจุน         ผู้มีคุณเปี่ยมแปรอย่างแท้จริง


http://www.mettadham.ca/teacher%27s%20poem1.htm

อ.กิตตินันท์ อีกท่านหนึ่งที่เกษียณแต่ไม่ได้ร่วมถ่ายภาพ





วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554

อดีตที่ยิ่งใหญ่ของพวกเราเหล่าวรนารีเฉลิม

                        อาจารย์อาภรณ์  สาครินทร์     อาจารย์รุจา  เลนุกูล
   ตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2529 ขณะนั้นผู้เขียนเพิ่งได้รับคำสั่งย้ายจากโรงเรียนหารเทา
ต.หารเทา  อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง มาทำการสอนที่วรนารีเฉลิม จังหวัดสงขลา จำได้ว่าก้าวแรกที่เหยียบย่างเข้าสู่รั้วกรมท่าขาว ครูบ้านนอกบ้านนาคนหนึ่ง ที่เคยได้ทราบว่ายิ่งใหญ่ของวรนารีเฉลิม มาตั้งแต่คราวผู้เขียนเรียนอยู่ที่หาดใหญ่วิทยาลัย มีความชื่นชมและศรัทธาวรนารีเฉลิม เป็นอย่างมาก ที่จำขึ้นใจจริง ๆ ก็ตอนงานแข่งขันกรีฑานักเรียน จังหวัดสงขลา ประมาณปี 2514 ณ สนามกีฬาจิระนครหาดใหญ่
แค่ขบวนพาเหรดของวรนารีเฉลิม ซึ่งมีแต่ผู้หญิงล้วน ๆ เดินเข้าสู่สนามตามหลัง
หาดใหญ่วิทยาลัย  ผู้เขียนเป่าแซกโซโฟนของดุริยางค์หาดใหญ่วิทยาลัย ยอมรับว่า
แอบชื่นชอบต่อความสามารถของดุริยางค์สตรีวรนารีเฉลิม เป็นอย่างมาก
      ไม่เพียงเท่านั้นครับ นักกรีฑาหญิงวรนารีเฉลิม จังหวัดสงขลา ก็กวาดเหรียญ
ไปเป็นจำนวนมาก ทำให้คิดคำนึงไปว่าโรงเรียนแห่งนี้ก็มีความยิ่งใหญ่ไม่ด้อยไปกว่ามหาวชิราวุธ แสงทอง หรือแม้กระทั่งหาดใหญ่วิทยาลัยเลย
       บัดนี้เราได้ก้าวย่างสู่โรงเรียนแห่งนี้แล้ว บอกได้คำเดียวว่าตื่นเต้น มีความกังวลใจอยู่ไม่น้อยเช่นเดียวกัน กลัวความสามารถของครูบ้านนาบ้านนอกอย่างเรา
จะทำการสอนไม่ดี ดังนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำเป็นการด่วนก็คือ เตรียมตัว เตรียมใจ
เตรียมสอนอย่างจริงจัง
        ตอนนั้นผู้เขียนมองดูอาจารย์วรนารีเฉลิม จังหวัดสงขลา อย่างชื่นชม ศรัทธา และมีความเกรงอกเกรงใจครูที่สอนอยู่ก่อนเก่าทุกท่านอย่างไม่มีข้อกังขาแต่อย่างใด อ่อนน้อมยอมรับคำชี้แนะอย่างเต็มอกเต็มใจ เรามองเขาอย่างศรัทธา
ในการวางตัววางตน การพูดจาระหว่างครูด้วยกัน และระหว่างครูกับนักเรียน
     โอ้โหนักเรียนมาพบอาจารย์ที่โต๊ะไม่ยืนค้ำโต๊ะให้เห็นเลยสักคนเดียว คุกเข่า
อยู่หน้าโต๊ะทั้งสิ้น อะไรจะเรียบร้อยผู้ดีเช่นนี้ เป็นความคิดในสมัยโน้นแหละครับ
      แต่ก็นั่นแหละนะที่นี่เป็นโรงเรียนสตรี หมายถึงนักเรียนเป็นนักเรียนผู้หญิงทั้งหมด สำหรับครูผู้ชายมีเพียงน้อยนิด เรียกว่าเป็นชนกลุ่มน้อยของที่นี่ก็่ว่าได้ ส่วนภายหลังไม่ทราบเป็นด้วยแนวความคิด ทฤษฎีของผู้ใหญ่ท่านใด ที่ให้ที่นี่เป็นสหศึกษา คือมีนักเรียนชายและหญิง ก็เป็นยุคสมัยที่เราอยู่ที่นี่พอดีนั่นแหละ เพียงแต่ว่า จำได้ไม่แม่นว่าเริ่มรวมหญิงชายกัน ตั้งแต่ปี พ.ศ.ไหน น่าจะปี 2530 กว่า ๆ นี่แหละ ขั้นต้นก็รับนักเรียนชายเฉพาะ ม.ปลาย อีกสองสามปีถัดมา ก็รับในระดับชั้น ม.ต้นด้วย อันที่จริงปัญหาการปกครองชั้นเรียนก็เริ่มมีปัญหามาตั้งแต่บัดนั้นแหละ เพราะทีนี่ส่วนใหญ่ครูอาจารย์เป็นผู้หญิง การติดตาม ควบคุมดูแลนักเรียนผู้ชาย ย่อมยุ่งยากกว่านักเรียนผู้หญิงอยู่บ้างไม่มากก็น้อย แต่ก็ยังโชคดีที่นักเรียนไม่ว่าชายหรือหญิงที่ก้าวเข้ามาเรียนที่นี่ ในสมัยสหศึกษาตอนต้น ๆ เป็นนักเรียนที่มีความประพฤติดี สมกับคำว่า จรรยางาม ความรู้ดี  มีวินัย ใฝ่คุณธรรม จริง ๆ ครับ
----เบรกก่อนนะขอรับ----ค่อยมาคุยต่อนะขอรับ
            ครูผู้ชาย อ.ประสงค์  ธรรมหิเวศน์  อ.วิโรจน์  แก้วบำเพ็ญ อ.แปลก อ่อนเจริญ
ครูผู้หญิง อ.อุษา อ.อาภรณ์ อ.ชุติมา อ.ประสานสุข อ.สุนันทา อ.ยุพา อ.วิสา อ.ประจวบจิต อ.ประพิง
อ.ธัญญภรณ์


ขอขอบคุณเว็บไซต์ http://bbznet.pukpik.com/ 

การกระจายอำนาจทางการศึกษา

     พอดีไปอ่านเจอเกี่ยวกับการกระจายอำนาจในสถานศึกษา เห็นว่ามีเนื้อหาสาระที่ดี หากพวกเราน้อมนำมาริเริ่มใช้กันก็จะบังเกิดผลดีกับสถานศึกษาไม่น้อย แต่กระผมขออนุญาตน้อมนำเฉพาะข้อดีของการกระจายอำนาจทางการศึกษามาเท่านั้นนะ ครับผมส่วนตัวเต็มจริง ๆ ให้คลิกอ่านที่นี่ครับ





         อ่านแล้วได้ข้อคิดสะกิดใจประการใด แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นการกระจายอำนาจในสถานศึกษาได้นะขอรับ




  

นักเรียนทุกคน ช่วยตอบแบบสอบถามนี้ด้วยค่ะ

ดูทีวีครูเรียนรู้วิทยายุทธ

Subscribe Now: Feed Icon