Krukaroon

!!!การุณย์ สุวรรณรักษา สังคมศึกษาฯ วรนารีเฉลิม จังหวัดสงขลา!!

วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการปฏิบัติของผู้เข้าสอบ


     
ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ
ว่าด้วยการปฏิบัติของผู้เข้าสอบ  พ.ศ. 
๒๕๔๘

                  โดยที่เห็นสมควรปรับปรุงระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการปฏิบัติ ของผู้เข้าห้องสอบให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
                 อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๒  แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ  พ.ศ. ๒๕๔๖  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการจึงวางระเบียบไว้ดังนี้
                ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า
ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการปฏิบัติ ของผู้เข้าสอบ พ.ศ. ๒๕๔๘
                 ข้อ ๒ ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป
                 ข้อ ๓ ให้ยกเลิกระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการปฏิบัติของผู้เข้าสอบ พ.ศ. ๒๕๐๖
                             ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับแก่ผู้มีหน้าที่กำกับการสอบสำหรับการสอบทุกประเภทในส่วนราช
การ และสถานศึกษาสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ และให้หมายความรวมถึงผู้เข้าสอบในสถานศึกษาที่อยู่ในกำกับดูแล หรือสถานศึกษาที่อยู่ในความควบคุมของกระทรวงศึกษาธิการด้วย
  ยกเว้นสถาบันอุดมศึกษาของรัฐและสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
                  ข้อ ๔ ผู้เข้าสอบต้องปฏิบัติดังนี้
                             ๔.๑ การแต่งกาย  ถ้าเป็นนักเรียนหรือนักศึกษาต้องแต่งเครื่องแบบนักเรียนหรือนักศึกษาแล้วแต่กรณี  ถ้าเป็นผู้สมัครสอบต้องแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อยตามประเพณีนิยม
                             ๔.๒ ผู้เข้าสอบจะต้องถือเป็นหน้าที่ที่ต้องตรวจสอบให้ทราบว่าสถานที่สอบ
อยู่    ที่ใด  ห้องใด
                             ๔.๓ ไปถึงสถานที่สอบก่อนเวลาเริ่มสอบตามสมควร  ผู้ใดไปไม่ทันเวลาลงมือสอบวิชาใด  ไม่มีสิทธิ์เข้าสอบวิชานั้น  แต่สำหรับการสอบวิชาแรกในตอนเช้าของแต่ละวัน  ผู้ใดเข้าห้องสอบหลังจากเวลาลงมือสอบแล้ว ๑๕  นาที  จะไม่ได้รับอนุญาตให้สอบวิชานั้น  เว้นแต่มีเหตุความจำเป็นให้อยู่ในดุลพินิจของประธานดำเนินการสอบพิจารณาอนุญาต
                             ๔.๔ ไม่เข้าห้องสอบก่อนได้รับอนุญาต
                             ๔.๕ ไม่นำเอกสาร  เครื่องอิเล็กทรอนิกส์หรือเครื่องสื่อสารใด ๆ เข้าไปใน
ห้องสอบ
                             ๔.๖ นั่งตามที่กำหนดให้  จะเปลี่ยนที่นั่งก่อนได้รับอนุญาตไม่ได้
                             ๔.๗ ปฏิบัติตามระเบียบที่เกี่ยวกับการสอบและคำสั่งของผู้กำกับการสอบ
โดยไม่ทุจริตในการสอบ
                             ๔.๘ มิให้ผู้เข้าสอบอื่นคัดลอกคำตอบของตน  รวมทั้งไม่พูดคุยกับผู้ใดในเวลาสอบ  เมื่อมีข้อสงสัยหรือมีเหตุความจำเป็นให้แจ้งแต่ผู้กำกับการสอบ
                             ๔.๙ ประพฤติตนเป็นสุภาพชน
                             ๔.๑๐ ผู้ใดสอบเสร็จก่อน  ผู้นั้นต้องออกไปห่างจากห้องสอบ  และไม่กระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนแก่ผู้ที่ยังสอบอยู่  แต่ทั้งนี้ผู้เข้าสอบทุกคนจะออกจากห้องสอบก่อนเวลา ๒๐  นาทีหลังจากเริ่มสอบสอบวิชานั้นไม่ได้
                            
๔.๑๑ ไม่นำกระดาษสำหรับเขียนคำตอบที่ผู้กำกับการสอบแจกให้ออกไปจากห้องสอบ
          
   ข้อ ๕ ผู้เข้าสอบกระทำการฝ่าฝืนระเบียบข้อ ๔  หรือพยายามกระทำการทุจริต ในการสอบวิชาใดให้
ผู้กำกับการสอบว่ากล่าวตักเตือน

            
  ถ้าการกระทำดังกล่าวในวรรคแรกเข้าข่ายร้ายแรง  เมื่อได้สอบสวนแล้วประธานกรรมการหรือผู้
มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการสอบ
  สั่งไม่ตรวจคำตอบ  และถือว่าผู้นั้นสอบ ไม่ผ่านวิชานั้นในการสอบคราวนั้น
             ข้อ ๖ ผู้เข้าสอบผู้ใดกระทำการทุจริตในการสอบวิชาใด  เมื่อได้สอบสวนแล้ว เมื่อได้สอบสวนแล้วประธานกรรมการหรือผู้มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการสอบ  สั่งไม่ตรวจคำตอบ  และถือว่าผู้นั้นสอบไม่ผ่านวิชานั้นในการสอบคราวนั้น
                     ข้อ ๗ ในกรณีทุจริตในการสอบด้วยวิธีคัดลอกคำตอบระหว่างผู้เข้าสอบด้วยกัน
ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้เข้าสอบนั้น  ได้สมคบกันกระทำการทุจริต
                      ข้อ ๘ ให้ปลัดกระทรวงศึกษาธิการรักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้
 
                                          ประกาศ    วันที่  ๓๐  กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๘
                                                                      ลงชื่อ    จาตุรนต์  ฉายแสง
                                                                             (นายจาตุรนต์  ฉายแสง)
                                                            รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

แนวข้อสอบปลายภาคเรียนวิชาก้าวทันโลกศึกษา 2 ม.4

ขอบข่ายที่ออก ปรนัย 4 ตัวเลือก  50 ข้อ
-เนื้อหาเรื่องการออกพระราชบัญญัติ (จากเทอมที่แล้ว)
-เนื้อหาวิชากฎหมายที่เรียนไป
-ที่ยังไม่ได้สอนเช่น กฎหมายทะเบียนราษฎร  การทำบัตรประจำตัวประชาชน
 เป็นต้น
-ความรู้รอบตัวอื่น ๆ
สำหรับอัตนัย  1 ข้อ
  -ไม่ยากเท่าไหร่คงทำได้สบายแต่ตอบให้ชัดเจน ครบถ้วนกระบวนความนะครับ
รู้สึกมี ข้อเดียวเท่านั้น

วิธีการแก้ไขข้อมูลส่วนตัวเพื่อทำการสอบแก้

นักเรียนที่สอบไม่ผ่านหรือยังไม่ได้สอบข้อสอบ 6 ชุด ให้นักเรียนแก้ไขในประว้ติของนักเรียนในช่องชื่อก่อนเข้าทำข้อสอบนะครับ   สำหรับใครทำข้อสอบหลัง 8.00 น. วันที่ 14 กพ 2554 ก็ให้ ทำตามวิธีด้านล่างนี้ด้วยนะครับ  มาทำกันเลยดีกว่า
-เข้าโปรแกรม www.exam.in.th
-ใส่ username
-ใส่รหัสผ่าน
-คลิกเข้าสู่ระบบ
-จะเจอหน้านี้ ถ้าไม่เจอหน้าที่ให้คลิกที่หน้าหลักนะครับก็จะเจอ


















-คลิกที่รูปคน ๆเดียว ด้านล่างมีข้อความว่า ข้อมูลส่วนตัว
-ในช่องชื่อ ให้พิมพ์คำว่า re นำหน้าชั้นห้องเลขที่ นะครับด้วยในตัวอย่างที่ช่องชื่อ

   re 4/2 เลขที่ 10 นะครับ

 -อย่าลืมคลิกที่ช่องด้านล่างที่ปุ่ม แก้ไขข้อมูลนะครับ




    แค่นี้นักเรียนก็เข้าไปทำการสอบได้แล้วครับ

วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554

เมื่อการสอบปลายภาคจะมาเยือน


   เรื่องการสอบปลายภาคเรียนในสมัยปัจจุบัน ดูเหมือนจะมีความศักดิ์สิทธิ์ น้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับการสอบไล่ปลายปีของนักเรียนในสมัยก่อน อะไรทำให้นักเรียนสมัยปัจจุบันมองไม่เห็นความสำคัญของการสอบปลายภาคเรียน  ถ้ามองกันให้รอบคอบแล้ว ก็จะมีสิ่งสนับสนุนดังนี้
   1. ครูได้มอบหมายชิ้นงานให้นักเรียนทำ  คะแนนจึงอยู่ที่ชิ้นงานส่วนหนึ่ง
   2. ครูจะจัดสอบรายหน่วยย่อยและเก็บคะแนนนักเรียนเอาไว้อีกส่วนหนึ่ง
   3. การสอบปลายภาคเรียน จึงเป็นคะแนนส่วนน้อย บางคนยังไม่สอบปลายภาคเรียน
       เมื่อรวมคะแนนเก็บทั้งหมดได้เกรด 2.0 แล้ว
   4. หากนักเรียนสอบไม่ผ่าน นักเรียนก็สามารถสอบแก้ตัวได้ ในประเด็นนี้ถือว่าเป็นสิ่งบ่อนทำลายความวิริยะอุตสาหะของนักเรียนในสมัยนี้เป็นอย่างมาก ส่งเสริมสนับสนุนให้นักเรียนไม่ค่อยรับผิดชอบในการศึกษาเล่าเรียน ทั้งนี้เพราะนักเรียนสามารถสอบแ้ก้ตัวได้นั่นเอง สอบไม่ผ่านครั้งที่ 1 ก็สอบแก้ครั้งที่ 2 หากยังไม่ผ่านผู้สอนบางท่านมอบหมายชิ้นงานให้นักเรียนไปทำเสริม แทนคะแนนการสอบก็มีไม่น้อย
       ดังนั้นถ้าจะพูดว่า ระบบการศึกษาสมัยนี้เป็นสิ่งที่บ่อนทำลายความเป็นนักเรียนที่มีความรับผิดชอบ มีระเบียบวินัย ใฝ่รู้่ใฝ่เรียน มีความขยันหมั่นเพียรไปสิ้น ดังนั้นในสถาบัน
การศึกษาต่าง ๆ จึงมีนักเรียนที่มีพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ สังเกตจากจำนวนนักเรียนที่ไม่ผ่านการประเมินคุณลักษณะในแต่ละภาคเรียนจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
       ต่างกับสมัยก่อนหากนักเรียนไม่รับผิดชอบหรือไม่สนใจในการศึกษาเล่าเรียน นักเรียนสอบไม่ผ่าน 50 % นักเรียนคนนั้น จะสอบตกและจะต้องเรียนซ้ำชั้นเดิมอีก 1 ปี
ในกรณีเรียนซ้ำสมัยนี้ โรงเรียนเอื้ออำนวยให้จิตวิญญาณความรับผิดชอบของนักเรียนที่มีอยู่น้อยเต็มที ยิ่งริบหรี่ลงไปอีกมากมาย คือจัดเรียนซ้ำ เรียนเสริม เรียนเพิ่มเติม กันไป
ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย แล้วให้ทำการสอบ ซึ่งส่วนใหญ่ครูผู้สอนก็ให้นักเรียนสอบผ่านไปได้อย่างง่ายดาย  จากจุดนี้จะส่งผลต่อนักเรียนในการเรียนภาคเรียนต่อไป เพราะนักเรียนจะรู้แนวทางว่าอย่างไรเสีย ตนเองก็สอบผ่านอยู่ดี ทำให้ความกระตือรือร้น ความรับผิดชอบจางหายไป
       คราวนี้ถ้าเป็นสมัยก่อนนักเรียนเรียนซ้ำในเวลา 1 ปี ก็ถือว่าเป็นการลงโทษการไม่รับผิดชอบ และไม่ตั้งใจเรียนของนักเรียน นักเรียนจะปรับปรุงตนหรือพยายามขยันหมั่นเพียร เพราะหากเรียนซ้ำแล้วสิ้นปีสอบไม่ผ่านอีก ก็ต้องเรียนซ้ำชั้นเรียนเดิมอีก 1 ปี โอกาสที่นักเรียนจะเกเรเกตุง หยุ่งเหยิงอีลุงตุงนังเหมือนสมัยนี้ ก็มีน้อยเต็มที
       ที่น่ากลัวมากที่สุดก็คือครูผู้สอนคนหนึ่งเป็นผู้สอนแล้วประเมินให้นักเรียนตกตอนปลายภาคเรียน ให้นักเรียนสอบแก้ตัวนักเรียนก็สอบไม่ผ่าน เมื่อนักเรียนเรียนซ้ำโดยแต่งตั้งครูคนใหม่เข้าไปสอนแทนและดำเนินการวัดผลประเมินผลนักเรียนแทนครูคนก่อน
ตรงนี้ยิ่งเป็นปมปัญหา เข้าไปใหญ่สมมตินักเรียนเรียนซ้ำและสอบผ่านไปได้โดยง่ายนี้
ภาพลักษณ์ที่นักเรียนมองครูประจำวิชาคนเดิม จะติดลบ ภาพบวกก็จะไปอยู่ที่ครูสอนเรียนซ้ำ ที่ทำการสอนเพียงไม่กี่คาบ ที่สำคัญคือมาตรฐานการสอนและการวัดผลประเมินผล จะเทียบเท่าเสมอเหมือนกันหรือไม่  นักเรียนที่เรียนผ่านมีคุณภาพจริงหรือ เป็นสิ่งที่ครูเราควรนำมาขบคิดเป็นอย่างยิ่ง
      ในด้านนักเรียน ควรจะคิดคำนึงถึงอนาคตของตนเองให้มากยิ่งขึ้น ยิ่งตอนนี้เวลาในการสอบปลายภาคเรียน กำลังจะมาถึง นักเรียนควรจะสะสางงานที่ครูมอบหมายให้เสร็จสิ้นโดยเร็วไว อย่าให้มีพันธะติดไปตอนสอบปลายภาคเรียน เพราะจะทำให้กังวลใจ
ขยันอ่านและจดย่อ ๆ ประเด็นสำคัญเอาไว้อ่านเตรียมตัวสอบ เพียงเท่านี้ผลการเรียนของนักเรียนก็จะไม่ตกต่ำอีกแล้วครับ
      ครูขอให้ลูกศิษย์ทุกคน จงเป็นเด็กดี มีความตั้งอกตั้งใจเรียนและสอบปลายภาคเรียนนี้ได้คะแนนดี ๆ ทุกคนนะครับ



                                                              สวัสดี

วันพุธที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2554



                         กฎหมายทำแท้งกับปัญหาเด็กท้องในช่วงวัยเรียน(1)
                       (บทความเป็นบทความแรก มีทั้งหมด2บทความนะครับ)
                ความผิดฐาน “ทำให้แท้งลูก”(abortion) หมายถึง การที่ทำให้เด็กในครรภ์คลอดออกมาอย่างไม่มีชีวิต ปัญหาอยู่ที่การเริ่มต้นกระทำผิดว่าจะเริ่มเมื่อไหร่ ณ จุดใด หากใช้ข้อความว่า “ยุติการตั้งครรภ์โดยชอบด้วยกฎหมาย”(I’ interruption illegal de grossesse หรือ The termination of pregnancy) น่าจะให้ความหมายที่ชัดเจนกว่า เพราะจะทำให้เห็นว่า ความผิดฐานนี้เริ่มตั้งแต่การตั้งครรภ์ไปจนถึงเวลาก่อนคลอดสำเร็จ คือ นับแต่อสุจิผสมกับไข่แล้วเดินทางไปฝังตัวในผนังมดลูกมิใช่นับแต่เมื่อมีการ ปฏิสนธิ เพราะการผสมกันระหว่างอสุจิกับไข่แม้จะเกิดการปฏิสนธิแล้ว แต่ตราบใดที่ยังไม่มีการฝังตัวในผนังมดลูกตราบนั้นก็ยังไม่มีการตั้งครรภ์ เมื่อไม่มีการตั้งครรภ์ การยุติการตั้งครรภ์หรือการทำแท้งย่อมมีไม่ได้ ดังนั้นถ้าเด็กในครรภ์คลอดออกมาอย่างไม่มีชีวิตก็เป็นการทำแท้ง หากคลอดออกมาอย่างมีชีวิตแล้วตายลงภายหลังก็ไม่ใช่การแท้งลูก[1]
การทำแท้งและการฆ่าผู้อื่นตามกฎหมายไทย เป็นความผิดที่มีขอบเขตต่อเนื่องกัน เมื่อขอบเขตของความผิดฐานทำให้แท้งลูกสิ้นสุดลง ความผิดฐานฆ่าคนก็จะเริ่มต้นขึ้น ดังนั้น การแท้งลูกจึงหมายถึง การที่ทำให้ทารกในครรภ์คลอดออกมาอย่างไม่มีชีวิต ถ้าคลอดออกมาอย่างมีชีวิต ก็เป็นเพียงพยายามทำแท้ง ซึ่งกฎหมายไทยไม่เอาความผิด(ในต่างประเทศอย่าง ฝรั่งเศส สวิสเซอร์แลนด์ อินเดียก็ลงโทษฐานพยายามทำแท้งแต่กฎหมายไทยกลับยกเว้นโทษให้) แม้ว่าจะมาตายภายหลังก็ตาม[2]
ประมวลกฎหมายอาญาได้บัญญัติความผิดเกี่ยวกับการทำแท้งไว้ในมาตรา 301-305[3] ในกรณีที่หญิงใดทำให้ตนเองแท้งลูกหรือยอมให้คนอื่นทำให้แท้งลูก หญิงนั้นมีความผิดฐานทำให้แท้งลูกหรือผู้ใดทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงนั้น ยินยอมหรือโดยหญิงนั้นไม่ยินยอม ผู้นั้นมีความผิดฐานทำให้แท้งลูก และหากการกระทำนั้นเป็นเหตุให้หญิงนั้นได้รับอันตรายสาหัสอย่างอื่นด้วย ต้องระวางโทษหนักขึ้น สำหรับการทำแท้งที่กฎหมายยอบรับให้ทำได้โดยชอบนั้น บัญญัติอยู่ในมาตรา 305 ที่ว่า “ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวไว้ในมาตรา301และมาตรา302 นั้น เป็นการกระทำของนายแพทย์ และ
(1) จำเป็นต้องกระทำเนื่องจากสุขภาพของหญิงนั้น หรือ
(2) หญิงมีครรภ์เนื่องจากการกระทำความผิดอาญาตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 276 มาตรา277 มาตรา282มาตรา283และมาตรา234
ผู้กระทำไม่มีความผิด”
                เมื่อพิจารณาจากมาตรา 305 จะเห็นว่าวัตถุประสงค์ของการให้อำนาจแพทย์ในการทำแท้งหญิงได้นั้นก็เพื่อให้ หญิงสามารถยุติการตั้งครรภ์ได้โดยปลอดภัย จึงกำหนดบังคับให้แพทย์เท่านั้นที่มีอำนาจทำให้ได้ จะเห็นได้ว่ากรณีการทำแท้งเป็นกรณีการขัดแย้งกันของสิทธิในการมีชีวิตรอดของ เด็กในครรภ์มารดากับสิทธิส่วนบุคคลของมารดา ซึ่งจะต้องเลือกว่าจะให้ใครรอดระหว่างชีวิตเด็กหรือชีวิตมารดา เป็นการชั่งระหว่างการทำแท้งกับสุขภาพของหญิง ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่ากฎหมายอาญาเลือกชีวิตของมารดา กฎหมายยอมให้มีการทำแท้งโดยชอบได้ ต้อง
1. เป็นการกระทำความผิดที่หญิงทำให้ตนเองแท้งลูกหรือยอมให้คนอื่นทำให้แท้ง ลูก(ม.301) และเป็นกรณีที่ผู้ใดทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงนั้นยินยอม(ม.302)เท่านั้น ไม่หมายความรวมถึงกรณีความผิดที่ผู้ใดทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงนั้นไม่ยินยอม ในมาตรา 303 แต่อย่างใด
2. เป็นการกระทำของแพทย์ ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ในการประกอบโรคศิลป์ตามกฎหมาย ไม่หมายความรวมถึงพยาบาลหรือผดุงครรภ์และหากผู้ที่กระทำเป็นแพทย์ด้วยก็ทำ ได้ แต่ต้องเข้าเหตุตาม(1)หรือ(2)ด้วย หากแพทย์สำคัญผิดว่าหญิงนั้นถูกข่มขืนหรือเข้าใจว่าหากหญิงนั้นตั้งครรภ์ต่อ ไปแล้วจะเกิดอันตรายต่อสุขภาพของหญิง แพทย์ก็ไม่ต้องรับผิดโดยอ้างความสำคัญว่ามีอำนาจกระทำได้ตามมาตรา 62
3. ต้องเข้าเหตุตาม(1)หรือ(2) กล่าวคือ
3.1 มีความจำเป็นต้องกระทำเนื่องจากสุขภาพของหญิง ผู้กระทำต้องมีความจำเป็นต้องกระทำเนื่องจากกระทบต่อสุขภาพของหญิง ซึ่งหากตั้งครรภ์ไปแล้วจะเป็นอันตรายแก่ตนเองไม่ว่าจะเป็นสุขภาพกายหรือจิต ใจ แต่อย่างไรก็ตาม การทำแท้งเพราะความพิการของเด็กที่อยู่ในครรภ์ ยังเป็นปัญหาที่มีความเห็นต่างกันอยู่ว่าสามารถทำได้หรือไม่ ในแง่กฎหมายแล้ว ไม่ตีความรวมถึงสุขภาพของเด็กที่อยู่ในครรภ์แต่ในทางการแพทย์โดยข้อกำหนดของ แพทยสภาเห็นว่าสามารถทำได้ ก็คงเป็นปัญหาที่ต้องรอคอยการตกผลึกทางความคิดกันต่อไป
3.2 หญิงมีครรภ์เนื่องจากการกระทำความผิดอาญา กล่าวคือ ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา(ม. 276และม.277) ความผิดฐานเป็นธุระจัดหาบุคคลไปเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น(ม.282และม.283) และความผิดฐานพาบุคคลไปเพื่อการอนาจาร(ม.284) เท่านั้น ไม่หมายความรวมถึงความผิดฐานอื่นแต่อย่างใด หากหญิงตั้งครรภ์จากการกระทำความผิดอาญาที่ได้กล่าวมา แพทย์ทำแท้งให้ได้โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะกระทบต่อสุขภาพของหญิงหรือไม่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องได้รับความยินยอมจากหญิงผู้จะขอให้ทำแท้ง ต้องเป็นความยินยอมที่บริสุทธิ์ อิสระ ปราศจากความกดดันใดๆ
                การทำแท้งเป็นปัญหาที่ถกเถียงกันมากในปัจจุบัน ฝ่ายหนึ่งยอมให้มีการทำแท้งได้ง่าย ฝ่ายนี้มองว่า การปล่อยให้ตั้งครรภ์ต่อไป หากกระทบต่อสุขภาพของหญิงแล้วย่อมทำได้หรือการตั้งครรภ์ที่เกิดจากความไม่ เต็มใจของมารดา พิจารณาในหลายๆแง่มุมแล้วเห็นควรให้ทำแท้ง ก็ให้ทำแท้งได้ อีกฝ่ายหนึ่งยอมให้มีการทำแท้งได้ยาก ฝ่ายนี้มองว่า เมื่อตั้งครรภ์แล้วก็ควรให้เด็กคลอดออมา เด็กไม่มีความผิดอะไรไม่ควรฆ่าเขา เด็กไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรไม่ควรเอาความผิดของพ่อแม่ไปยัดเยียดให้แก่เด็ก อีกและที่สำคัญยังขัดกับศีลธรรมด้วย หากไม่มีความจำเป็นจริงจริงก็ไม่ยอมให้มีการทำแท้ง ความเห็นของฝ่ายนี้พิจารณาถึงชีวิตของเด็กมากกว่า(เนื่องจากบทความนี้ยาว เกินไปเพื่อให้อ่านง่ายขึ้นผมจึงขอแยกเป็น2บทความ ความเห็นเกี่ยวกับปัญหาเด็กท้องในช่วงวัยเรียน จะขอกล่าวในบทความต่อไป)

ข้ิิอมูลจาก http://learners.in.th/blog/nattawat-thammasat/366258

นักเรียนทุกคน ช่วยตอบแบบสอบถามนี้ด้วยค่ะ

ดูทีวีครูเรียนรู้วิทยายุทธ

Subscribe Now: Feed Icon